วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

นิทานพี่น้องตระกูลกริมม์ (ต่อ)


ช่างตีเหล็กกับปีศาจ
มีชายตีเหล็กคนหนึ่งยากจนกำลังจะอดตาย เขาได้พบกับปีศาจซึ่งยื่นข้อเสนอว่า จะให้เหรียญทองจำนวนมากถ้าเขายอมมอบวิญญาณให้ในอีกสามปีให้หลัง ช่างตีเหล็กคิดว่ายังไงตัวเองก็จะอดตายอยู่แล้วจึงยอมเซ็นสัญญา เมื่อได้เหรียญทองมาแล้วก็นำไปซื้อเครื่องมือมาทำงาน คราวนี้มีคนมาจ้างมากมายจนเขากลายเป็นคนรวยขึ้นมา
นักบุญเปโตรได้ยินข่าวลือเรื่องฝีมือของช่างตีเหล็ก จึงเดินทางมาจ้างงานเขา เมื่อได้งานดีตามที่ต้องการก็ดีใจมากและบอกว่าจะทำให้คำขอของช่างตีเหล็กเป็นจริงสามข้อ
ช่างตีเหล็กจึงขอ "ถุงตะปูที่ถ้าล้วงมือลงไปแล้วจะถอนมือไม่ออกจนกว่าช่างตีเหล็กจะอนุญาติ" "เก้าอี้ที่ถ้านั่งแล้ว จะลุกไม่ได้จนกว่าช่างตีเหล็กจะอนุญาต" กับ"ต้นแอ๊ปเปิ้ลที่ถ้าปีนแล้วจะลงไม่ได้จนกว่าช่างตีเหล็กจะอนุญาต"
เมื่อเวลาผ่านไปสามปี ปีศาจก็ส่งลูกศิษย์สามคนมาทวงวิญญาณของช่างตีเหล็ก หากเขาก็ใช้ของวิเศษทั้งสามอย่างเอาตัวรอดมาได้ จนในที่สุด ปีศาจก็มาด้วยตัวเอง
ช่างตีเหล็กท้าปีศาจให้แสดงอำนาจให้เห็น ปีศาจจึงแปลงร่างเป็นหนู ช่างตีเหล็กก็จับหนูยัดลงไปในถุงตะปูแล้วขู่ว่าจะปล่อยออกมาจนกว่าปีศาจจะมอบใบสัญญามาให้ เมื่อได้สัญญามาแล้ว เขาก็เผาทิ้งในทันที แล้วหลังจากนั้น ปีศาจก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาอีกเลย


เด็กผู้หิวโหย
มีหญิงผู้หนึ่งมีลูกสาวสองคน ทั้งสามยากจนไม่มีอะไรจะกิน ผู้เป็นแม่ทนความหิวไม่ไหวจึงบอกว่าจะฆ่าลูกสาวกิน ลูกสาวจึงบอกว่าจะไปหาอาหารมาแล้วนำขนมปังชิ้นเล็กๆกลับมา แต่ก็ไม่อาจประทังความหิวของทุกคนได้
คราวนี้แม่บอกว่าจะฆ่าลูกสาวอีกคนกิน ลูกสาวจึงบอกว่าจะไปหาอาหารมา แล้วนำขนมปังกลับมาสองชิ้น แต่ก็ยังไม่พอบรรเทาความหิวได้อยู่ดี
แม่บอกว่าจะฆ่าลูกสาวอีก คราวนี้ลูกสาวบอกว่า"เรามานอนกันจนกว่าโลกนี้จะอวสานลงกันเถอะ" ทั้งสามจึงล้มตัวลงนอนเรียงกันและไม่มีใครสามารถปลุกพวกเธอให้ตื่น มีแต่คนแม่เท่านั้นที่หายตัวไปและไม่มีใครเห็นนางอีก
(.............
ไม่รู้จะตีความยังไงดี............)


นักบุญผู้กังวล
ยังมีหญิงสาวผู้เปี่ยมศรัทธาอยู่นางหนึ่ง เธอสาบานต่อพระเจ้าว่าจะไม่แต่งงาน หากก็ถูกพ่อบังคับ หญิงสาวจึงขอพรพระเจ้าให้เธอมีหนวดงอกออกมา คำขอนั้นกลายเป็นจริง หากพระราชาก็สั่งประหารหญิงสาวด้วยการตรึงกางเขน แต่เธอก็กลายมาเป็นนักบุญในภายหลัง
วันหนึ่งมีนักดีดพิณยากจนมาคุกเข่าหน้ารูปปั้นของเธอ หญิงสาวดีใจจึงทำรองเท้าทองคำหล่นให้เขาข้างหนึ่ง หากในไม่ช้าทุกคนก็มาตามหารองเท้าทองคำที่หายไปและพบว่าอยู่กับนักดีดพิณ เมื่อเขาถูกจับในฐานะขโมยก็ร้องขอว่าอยากจะไปที่โบสถ์อีกครั้ง พอไปถึงโบสถ์ นักดีดพิณก็เข้าไปคุกเข่าหน้ารูปปั้น แล้วนักบุญหญิงก็ทำรองเท้าหล่นลงมาอีกข้าง นักดีดพิณจึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์


(จาก :: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1960320#ixzz1Az7bho2U ) เค้าก๊อปมาทั้งดุ้นอีกแล้ว(?)

เด็กหญิงผมทอง กับหมีสามตัว จุดจบของคนไม่มีมารยาท
เวอร์ชั่นที่คุณรู้
จากนั้นฉากก็ปรากฏเจ้าของบ้านมา เป็นหมีสามตัว ซึ่งเป็น พ่อ แม่ และลูก ทั้งสามเห็นสิ่งที่ผิดปกติในบ้าน ชามข้าวต้มถูกคนกิน เก้าอี้มีคนนั่งแถมบางตัวยังหัก และเมื่อพ่อ แม่ ลูกหมี เดินไปถึงห้องนอน พ่อหมีเห็นเตียงที่นอน มีรอยยับ จึงพูดว่า "ดูซิมีใครมาแอบนอนเตียงฉันก็ไม่รู้" ลูกหมีเดินไปเตียงของตนเอง แล้วพูดว่า "ดูซิมีใครมาแอบนอนบนเตียงหนูก็ไม่รู้" ฝ่ายสาวน้อยผมทองกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง สะดุ้งตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงหมี 3 ตัวพูดกันอยู่ใกล้เตียง ก็ตกใจกลัว รีบกระโดดจากเตียง วิ่งหนีออกไปจากบ้านหมีทั้งสามโดยเร็วและนับตั้งแต่นั้นมา หนูน้อยผมทองก็ไม่กล้าเดินเข้าไปในเขตบ้าน ของหมีสามตัวนั้นอีกเลย
                เวอร์ชั่นเดิม:เวอร์ชั่นเดิมหมีสามตัวไม่ได้ใจดีกับสาวน้อยผมทองหรอก ในนิทานต้นฉบับเดิมเมื่อสามหมีพบสาวน้อยผมทองบนเตียง หมีสามตัวฉีกขย่ำเธอ จนร่างเละแยกเป็นชิ้นส่วน จากนั้นก็กินเธอเป็นอาหารเย็น ส่วนฉบับเดิมที่สองเมื่อสาวน้อยผมทองลืมตาตื่นขึ้นมาและพบหมีสามตัวก็ตกใจมากเลยเลยกระโดดลงมาจากหน้าต่าง แต่รู้สึกเธอจะกระโดดผิดท่า เธอลงพื้นพลาดเลยเกิดอุบัติเหตุคอหักตายคาที่ นี่คงเป็นจุดจบที่เหมาะสมสำหรับคนแปลกที่เข้าบ้านโดยไม่รับอนุญาตแล้วมั้ง




ฮันเทลกับเกรเทล โศกนาฎกรรมที่บ้านขนม
เวอ์ชันกริมม์ :: เล่ากันว่าเป็นคดีหนึ่งในสมัยก่อน ซึ่งตอนนั้นยุโรปสูตรทำขนมนั้นถือว่ามีค่ามาก และเจ้าของสูตรขนมจะไม่เปิดเผยสูตรขนมให้แก่คนภายนอกรับรู้นอกเสียจากคนในครอบครัวเดียวกันเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาที่อยากรู้สูตรขนมปังจึงส่งสองเด็กเพื่อจารชนล้วงความลับเจ้าของสูตรขนม  ซึ่งส่วนมากเป็นหญิงแก่ใจดี และเมื่อเด็กสองคนถูกจับได้ หญิงแก่เลยจับเด็กมาขังและเลี้ยงดูอย่างดีโดยไม่ฆ่า  อย่างไรก็ตามคนในหมู่บ้านได้ไปช่วยเหลือและฆ่าและเผาคนทำขนมปังนี้ และใช้นิทานเรื่องเล่านี้เพื่อปกปิดอาชญากรรมที่ก่อไว้
แต่กระนั้นแม้ทำเป็นนิทาน เนื้อหาต่างๆ ยังคงแฝงไปด้วยความโหดร้ายเสมอ ในเวอร์ชั่นฝรั่งเศส ในขณะที่แม่มดเผลอ เด็กสองคนได้จับแม่มดเชือดคอหอยเธออย่างรุนแรงและหลบหนีไป  จบ!!

คนเป่าปี่ นี่คือบทเรียน
เวอร์ชั่นที่คุณรู้: The Pied Piper of Hamelin  หรือคนเป่าปี่ ปรากฏในนิทานพื้นบ้านของเยอรมันที่เล่าโดยสองพี่น้องกริมม์ เรื่องมีอยู่ว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่เมืองฮาเอลินในภาคกลางของเยอรมัน ปีคศ.1248 ได้ถูกกองทัพหนูเข้าก่อกวนโดยเดือดร้อนไปทุกบ้าน พวกมันแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก แล้วกัดแทะเสบียงอาหาร อีกทั้งพวกมันยังเป็นพาหะนำโรคร้ายมาอีกด้วย แม้แต่แมวก็ยังต้องหนีเพราะหนูมีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงขนาดจะเข้ามารุมทำร้ายแมวเสียด้วยซ้ำไป  บรรดาชาวเมืองรับไม่ได้กับเหตุการณ์เหล่านี้ ต่างหาทางกันกำจัดพวกหนู โดยพากันออกเงินจนได้ก้อนหนึ่งเพื่อให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่จะมาปราบหนูเหล่านี้ได้ จากนั้นก็มีคนต่างเมืองเดินทางมาที่นี่และรับอาสากำจัดหนูให้  แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีใครอาสามาปราบฝูงหนูเหล่านี้เลย           
   
ในยามนี้เองก็มีชายลึกลับผู้หนึ่งพร้อมกับปี่ที่เครื่องดนตรีคู่กายของเขาปรากฏตัว เขาอาสาจะปราบหนูให้ชาวเมืองแห่งนี้ และ ชาวเมืองก็ให้คำสัญญาว่าจะให้สิ่งตอบแทนใดๆก็ได้ตามที่เขาต้องการ  เมื่อ ตกลงกับชาวเมืองเรียบร้อย ชายประหลาดก็หยิบปี่ถุงออกมาและเป่าเพลงที่แปลกประหลาด พร้อมกับออกเดินไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของชาวเมืองนั้นเอง กองทัพหนูทั้งหลายก็ออกมาจากที่ซ่อนจากบ้าน จากโบสถ์ ทุกหนทุกแห่งจนกลายเป็นขบวนแถวยาวเมื่อได้ฟังเพลงจากปี่ของเขาอย่างหลงใหล แล้วคนประหลาดคนนั้นก็เริ่มเดินตรงออกจากหมู่บ้านพร้อมกับกองทัพหนูที่วิ่งตามหลังเขา จนไปถึงแม่น้ำเวเซอร์ที่ไหลผ่านหมู่บ้านแห่งนี้  ชายนักเป่าปี่ก็หยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ ในขณะที่ฝูงหนูพากันกระโจนลงน้ำไปเรื่อยๆ จนในไม่ช้าก็ไม่มีหนูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว และทั้งหมดก็จมน้ำตายในแม่น้ำนั้นเอง ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ปลอดจากการรบกวนของหนูเป็นที่เรียบร้อย   หลังจากนั้นชายประหลาดก็มาทวงรางวัลจากชาวบ้าน แต่ชาวบ้านทั้งหลายเกิดความเสียดายเงินขึ้นมา จึงไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนให้ พร้อมกล่าวว่า"นายไม่ได้ ทำอะไรเสียหน่อย พวกหนูกระโดดลงน้ำไปเองต่างหาก"และยังขู่จะจับขังนักเป่าปี่อีกด้วยถ้าเขา ยังมามัวตื๊ออยู่
                ชายประหลาดโกรธมากเขากล่าวทิ้งท้ายว่า"พวกคุณต้องรักษาสัญญา ฉันจะเอาสิ่งสำคัญที่สุดของพวกคุณไป" แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ยังกลับหัวเราะเยาะเขาเสียอีก เขาหายตัวไปจากหมู่บ้านแห่งนั้น  และวันต่อมา ชายประหลาดพร้อมปี่กลับมายังเมืองฮาเมลินอีกครั้ง เขาเริ่มเป่าปี่บทเพลงแปลกประหลาดบทใหม่บนถนน ซึ่งคราวนี้ผู้ติดตามเสียงปี่ของเขาที่ออกจากบ้านทุกหลัง กลับกลายเป็นเด็ก เด็กๆที่มีอายุมากกว่า 4 ปีต่างก็มารวมกันและเดินตามเขาไปจนในไม่ช้าเด็กชายหญิงจำนวนกว่า 130 คนต่างก็เต้นรำร้องเพลงตามทำนองของเสียงปี่ออกไปนอกเมือง และจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นชายประหลาดและเหล่าเด็กๆ อีกเลย
                เวอร์ชั่นเดิมมันมีบทสรุปเรื่องราวต่อจากนั้น เล่าถึงซะตากรรมของเด็กที่ชายเป่าปี่พาไป คือเวอรชั่นเดิมชายเป่าปี่พาเด็กออกนอกเมืองไปจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อเด็กทุกคนเข้าไปในถ้ำหมดแล้ว ชายประหลาดก็ปิดปากถ้ำขังเด็กทั้งหมดไว้ข้างในจนขาดใจตายอยู่ในถ้ำ(บางแห่งกล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีเด็กรอดตายเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น) ส่วนอีกเวอรชั่นหนึ่งบอกว่าชายเป่าปี่ได้พาเหล่าเด็กๆ ไปที่แม่น้ำสายหรนึ่งแล้วเอาพวกเด็กนั้นไปถ่วงน้ำให้ขาดใจตาย(ยกเว้นเด็กชายคนหนึ่งที่รอดชีวิต) ซึ่งเด็กสมัยใหม่ยอมรับไม่ได้กับจุดจบของเหล่าเด็กๆ ในเทพนิยายเรื่องนี้ 

ฉบับเต็มๆ ประกอบด้วยนิทาน 200 เรื่อง เรื่องเล่านักบุญ 10 เรื่อง  อ่านได้ในนี้ มีครบ(ภาษาอิงนะจ้ะ)


เครดิต : http://writer.dek-d.com/twinsprince/story/viewlongc.php?id=750618&chapter=3

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

นิทานพี่น้องตระกูลกริมม์


นิทานกริมม์ = (Kinder und Hausmärchen "นิทานสำหรับเด็กและครอบครัว")
** ส่วนเทพนิยายฉบับกริมม์อ่านได้ในนี้  ความเป็นจริงอันโหดร้ายของเทพนิยายก่อนนอน 
และในนี้
 ว่าด้วยนิทานกริมม์  (อันหลังบรรยายได้ลั่ลล้าดีค่ะ)
หมายเหตุ
 :: เนื้อหาของเทพนิยายเต็มไปด้วยความโหดร้าย รุนแรง และ เรื่อง 18+
นิทานกริมม์จริงๆแล้วดูธรรมดามาก หากว่าอ่านผ่านไปโดยไม่คิดอะไรมาก แต่จริงๆแล้วมันมีความรุนแรงที่แฝงตัวมาเนียนๆกับนิทาน สิ่งที่เขาตั้งใจจะสื่อออกมาจริงๆค่อนข้างจะเข้าใจยากและโหดร้าย บางครั้งอ่านไปก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกนะคะ เพราะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่อถึงตรงไหน แต่บางครั้งก็รู้สึกได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง(อย่างเทพนิยายกริมม์ฉบับดั้งเดิมนั่นไม่ต้องเสียเวลาตีความเลย)  ยกตัวอย่างนิทานพื้นบ้านของไทยอย่างศรีธนญชัยมีอยู่ตอนนึง แม่สั่งให้อาบน้ำน้องให้สะอาด ศรีธนญชัยสุดฉลาดขาดดิ้นของเราก็เลยอาบน้ำล้างตัวให้น้อง แล้วผ่าท้องควักไส้น้องออกมาล้างด้วย
 ...นั่นมันฆาตกรรมเลยนะคะ  
--------------------------                 
(จาก http://ohx3.exteen.com/20081007/entry ) เค้าก๊อปมาแหละ =3=
ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งนิทานกริมม์ถูกพิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกนั้น เยอรมันอยู่ในยุคของ Sturm und Drang ซึ่งเป็นการปฏิวัติด้านวรรณกรรมครั้งใหญ่ ก่อให้เกิดการต่อต้านแนวคิดในแง่ปรัชญามาเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ซึ่งอยู่เหนือกว่าสติ และส่งผลให้มีการหยิบยกงานเขียนในอดีตขึ้นมากล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้สังคมหันมาจับตามองยังนิทานและตำนานอีกครั้ง มีหนังสือรวบรวมเกี่ยวกับนิทานเหล่านี้ถูกพิมพ์ออกมามากมาย หากส่วนมากก็ถูกบรรณาธิการดัดแปลงเรื่องเสียจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ด้วยเหตุนี้เอง พี่น้องกริมม์*จึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนิทานเหล่านี้ จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับเบลนตาโน่(เคลเมน เบลนตาโน่ นักเขียนแนวโรแมนซ์ชื่อดังของเยอรมัน) กับโยฮีม(โยฮีม วอน อาร์นิม นักเขียนแนวโรแมนซ์ชื่อดังของเยอรมัน เป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัยเดียวกับเบลนตาโน่) ในปี 1803

*อ่านประวัติพี่น้องตระกูลกริมม์ฉบับละเอียดได้ในประวัติพี่น้องตระกูลกริมม์(วิกิ) 

ในช่วงปี
 1810 พี่น้องกริมม์ส่งตัวอย่างต้นฉบับไปให้เบลนตาโน่ หากเขาก็ทำต้นฉบับดังกล่าวหายไปทำให้การพิมพ์หนังสือต้องยกเลิก (ภายหลังเมื่อเข้าศตวรรษที่ 20 จึงค้นพบต้นฉบับดังกล่าวที่สำนักชีเอลเนเบิร์ก ต้นฉบับนี้จึงถูกเรียกว่า"ฉบับเอเลนเบิร์ก"ในเวลาต่อมา) จนปี 1812 พี่น้องกริมม์จึงอาศัยต้นฉบับที่คัดลอกเก็บไว้พิมพ์นิทานกริมม์เล่มแรกออกมา (และออกเล่มสองในปี 1815) หากฉบับพิมพ์ครั้งแรกนี้ยังมีข้อด้อยทางภาษาและมีเนื้อหาไม่เหมาะสมอยู่มาก นิทานกริมม์จึงถูกปรับปรุงใหม่และพิมพ์ออกมาอีกครั้งในปี 1819

หลังจากนั้นได้มีการปรับปรุงเนื้อหาและตัดนิทานที่มีใจความไม่เหมาะสมออกไปอีกหลายครั้ง จนในปี
 1857 นิทานกริมม์ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ก็ออกมาสู่ท้องตลาดและกลายมาเป็นนิทานกริมม์เช่นที่เรารู้จักกันในปัจจุบันค่ะ
วันนี้จะไม่พูดถึงทพนิยาย "เจ้าหญิงนิทรา" "สโนไวท์" "ซินเดอเรลล่า" ฯลฯ ที่ถูกเปลี่ยนเนื้อเรื่องบางส่วน แต่จะขอยกเรื่องบางส่วนที่ถูกตัดทิ้งไปก่อนฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 มาพูดถึงดีกว่า 
หรือ
  อ่านที่นี่ 

เคราน้ำเงิน
ยังมีชายผู้ร่ำรวยถูกเรียกว่า"เคราน้ำเงิน"เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเขา เคราน้ำเงินขอแต่งงานกับพี่น้องสาวสวยและได้แต่งกับคนน้อง เมื่อไปถึงปราสาท เคราน้ำเงินก็มอบพวงกุญแจให้ภรรยาของตนแล้วบอกว่า"เธอจะเข้าไปยังห้องไหนก็ได้ แต่ห้ามเข้าห้องที่ถูกล็อคด้วยกุญแจดอกเล็กที่สุดในพวงกุญแจนี้เป็นอันขาด" แต่เมื่อเคราน้ำเงินออกไปธุระข้างนอก ภรรยาก็เข้าไปยังห้องนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นและพบศพของภรรยาคนก่อนอยู่ในนั้นเอง เคราน้ำเงินกลับมาพบเธอเข้าพอดีและพยายามจะฆ่าหญิงสาว หากก็ได้พี่ชายของหญิงสาวมาช่วยแล้วฆ่าเคราน้ำเงินลงไปทันท่วงที
(กล่าวกันว่าต้นแบบของเคราน้ำเงินคือกิล เดอ เรย์ หรือบางเอกสารก็อ้างว่ามีต้นแบบมาจากพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8)


ไนติงเกลกับกิ้งก่าตาบอด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีนกไนติงเกลตาเดียวกับกิ้งก่าเป็นเพื่อนสนิทกัน อยู่มาวันหนึ่ง นกไนติงเกลได้รับเชิญไปงานแต่งงานแล้วจึงเกิดนึกอายที่ตัวเองมีตาเพียงข้างเดียว นกไนติงเกลจึงขอยืมตากิ้งก่ามาใช้หนึ่งวัน ซึ่งกิ้งก่าก็ยอมตกลงให้ยืมด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อนกไนติงเกลได้เห็นว่าโลกที่มองด้วยตาสองข้างนั้นสวยงามเพียงใด ก็ไม่อยากคืนตาให้กับกิ้งก่า และบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าทำให้กิ้งก่าไม่สามารถติดตามไปทวงตาคืนมาได้ ทั้งสองจึงกลายเป็นศัตรูกัน
นับแต่นั้น นกไนติงเกลก็จะร้องว่า"อยู่สูง อยู่สูง" (ตามภาษาท้องถิ่นของเยอรมันค่ะ) ส่วนกิ้งก่าตาบอดก็เลื้อยอยู่บนดิน และคอยขโมยกินไข่ของนกไนติงเกล
(กิ้งก่าในที่นี้คือกิ้งก่าพันธุ์หนึ่งซึ่งมีตาเล็กมาก และมีลายพร้อยจนดูไม่ออกว่ามีตาอยู่ตรงไหนค่ะ)


มือซึ่งถือมีด
ยังมีแม่อาศัยอยู่ร่วมกับลูกชายสามคนและลูกสาวหนึ่งคน แม่ไม่พอใจที่ลูกชายให้ความเอ็นดูลูกสาว จึงคอยกลั่นแกล้งแล้วส่งลูกสาวไปขุดถ่านโคลนมาจากทุ่งทุกวัน แต่ภูตซึ่งเป็นคนรักของลูกสาวก็ให้เธอยืมมีดซึ่งคมเป็นพิเศษ ทำให้เธอสามารถขุดถ่านโคลนกลับมาได้อย่างง่ายดายทุกวัน ฝ่ายผู้เป็นแม่ก็เกิดนึกสงสัย จึงพาลูกชายมาตามแอบดู และเห็นมือยื่นออกมาจากต้นไม้ส่งมีดให้กับลูกสาว นางจึงแย่งมีดมาจากลูกสาว แล้วแสร้งทำตัวเป็นลูกสาวไปหาภูตคนรัก พอภูตยื่นมือออกมาจะรับมีดคืน นางแม่ก็ใช้มีดตัดมือภูตทิ้ง
ภูตคิดว่าลูกสาวเปลี่ยนใจไปจากตนแล้ว จึงไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย


ยมทูตกับคนเลี้ยงห่าน
คนเลี้ยงห่านยากจนได้พบกับยมทูตที่ริมแม่น้ำ เขาจึงถามยมทูตว่าที่อีกฟากของแม่น้ำมีอะไรอยู่ ยมทูตตอบว่ามีอีกโลกหนึ่งซึ่งยมทูตจะพาคนที่กำลังจะตายไป และจะให้ใครว่ายไปด้วยตัวเองไม่ได้เด็ดขาด คนเลี้ยงห่านได้ฟังดังนั้นก็ขอร้องให้ยมทูตพาตัวเองข้ามฝั่ง หากยมทูตก็ปฏิเสะว่ายังไม่ถึงเวลา แล้วยมทูตก็พาเศรษฐีขี้เหนียวมา เศรษฐีว่ายน้ำไปได้สักพักก็หมดแรงจมน้ำไป หมาแมวของเศรษฐีที่ตามมาก็พลอยจมน้ำไปด้วย
แล้วยมทูตก็มาหาคนเลี้ยงห่านเพื่อบอกว่าถึงทีของเขาแล้ว คนเลี้ยงห่านว่ายน้ำไปจนถึงอีกฝั่ง ห่านที่เขาเลี้ยงไว้ก็ว่ายตามมา เมื่อถึงฝั่งก็กลายเป็นแกะสีขาว ยมทูตบอกกับเขาว่าในโลกนี้ คนเลี้ยงแกะคือพระราชาและก็มีพระราชาหลายคนมามอบมงกุฏให้กับเขาแล้วคนเลี้ยงห่านก็อาศัยอยู่ในโลกใหม่อย่างมีความสุขตลอดไป
(...........ใครก็ได้ช่วยตีความทีว่านี่หมายความว่าอะไร จะว่าไปแล้ว นิทานกริมม์มีเรื่องที่ลอยๆเข้าใจยากทำนองนี้เยอะมากเลยค่ะแบบว่าอ่านแล้วงงค่ะว่าท่านจะสื่ออะไรให้ข้าพเจ้ารับรู้เนี่ย)


แมวใส่รองเท้าบู้ธ
(หาฉบับของกริมม์ไม่เจอค่ะ ฉบับที่แพร่หลายกันในปัจจุบันนี้เป็นฉบับของชาร์ลส เปอร์โรต์ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส .....นี่แปลว่าแมวของกริมม์ทำอะไรไม่ดีเหรอถึงได้โดนตัดเรื่องออกน่ะ)


คำเชิญพิสดาร
ยังมีไส้กรอกแดงกับไส้กรอกขาว(ไส้กรอกเครื่องใน)เป็นเพื่อนสนิทกัน วันหนึ่งไส้กรอกแดงเชิญไส้กรอกขาวมาทานอาหารกลางวัน เมื่อไปถึงบ้านไส้กรอกแดง ก็พบว่าหน้าบ้านเป็นขั้นๆขึ้นไป พอปีนขึ้นไปทีละขั้นก็พบกับของแปลกๆเช่น ไม้กวาดที่หาเรื่องทะเลาะหรือลิงที่บาดเจ็บ
พอเข้าไปในบ้าน ไส้กรอกขาวก็ตั้งท่าจะถามถึงของที่เจอหน้าบ้าน แต่ไส้กรอกแดงก็ปลีกตัวเข้าครัวไปเพื่อยกอาหารมาเสียก่อนขณะที่ไส้กรอกขาวกำลังเหม่อคิดถึงหน้าบ้านอยู่นั่นเอง อะไรบางอย่างก็เข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนว่า"นี่เป็นบ้านของฆาตกรไส้กรอก! รีบหนีไปเร็ว!" ไส้กรอกขาวเลยตกใจ รีบกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง
แล้วไส้กรอกแดงก็โผล่หน้ามาจากหน้าต่างอีกบาน และมองตามหลังไส้กรอกขาวที่หนีไปพร้อมกับตะโกนว่า"อย่าให้ฉันจับแกได้เชียว!" ในมือนั้นถือมีดเล่มโตอยู่
(คะ คาออส....)


ปราสาทฆาตกร
ช่างทำรองเท้าบุตรสาวสามคน วันหนึ่งเมื่อช่างทำรองเท้าออกไปข้างนอก ก็มีชายแต่งตัวดีมาที่บ้านและตกหลุมรักลูกสาวคนหนึ่งหญิงสาวรับคำขอแต่งงานและตามเขาไปยังปราสาท ในตอนแรก หญิงสาวก็ยังนึกไม่สบายอยู่ แต่ก็พบว่าชายผู้นั้นมีปราสาทอันใหญ่โตร่ำรวยดังที่กล่าวไว้
วันรุ่งขึ้น ชายสามีมีธุระต้องออกไปข้างนอก ก่อนจะไปก็มอบกุญแจปราสาทให้ภรรยาแล้วบอกให้เธอไปสำรวจดูว่าสามีของเธอนั้นร่ำรวยเพียงใด เมื่อหญิงสาววนดูในปราสาทก็ยิ่งดีใจที่ได้แต่งงานกับคนร่ำรวย ก่อนจะลงไปยังห้องใต้ดิน
ที่หน้าห้องใต้ดินมีหญิงแก่นางหนึ่งกำลังควักไส้ศพอยู่ พอหญิงสาวเข้าไปถาม นางก็ตอบว่า"พรุ่งนี้ เจ้าก็จะโดนข้าควักไส้เหมือนกัน"และยังบอกด้วยว่า"ถ้าเจ้ายังไม่อยากตาย ก็ไปซ่อนตัวในรถบรรทุกฟางซะ" หญิงสาวจึงหนีออกไปจากปราสาทตามคำแนะนำของนาง
เมื่อชายสามีกลับมาถามหาภรรยาของตน หญิงแก่ก็ตอบว่า"วันนี้งานไปเร็ว เลยทำเผื่อไปเรียบร้อยแล้ว" ชายสามีได้ฟังดังนั้นก็พอใจมาก
อีกทางด้านหนึ่ง รถซึ่งหญิงสาวซ่อนตัวอยู่ก็ไปถึงปราสาทอีกแห่ง เมื่อเจ้าของปราสาทได้ฟังเรื่องจากหญิงสาวก็จัดงานเลี้ยงเชิญชายสามีและขุนนางจากที่ต่างๆมา หญิงสาวก็ปลอมตัวปะปนเข้ามาในงานด้วย เมื่อทุกคนเล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนกันฟัง หญิงสาวก็เล่าเรื่องปราสาทฆาตกร พอชายสามีได้ฟังก็ตั้งท่าจะหนี หากก็ถูกทหารจับขังคุกไปเสียก่อน
แล้วปราสาทก็ถูกทำลายลง หญิงสาวรับช่วงทรัพย์สินของปราสาทฆาตกร แล้วแต่งงานกับลูกชายของเจ้าของปราสาท และมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
(บางฉบับก็บอกว่า หญิงสาวในที่นี้คือน้องสุดท้องค่ะ และศพที่ถูกควักไส้ก็คือศพของพี่สาวสองคน)


จมูกยาว
ยังมีทหารเกษียณทัพอยู่สามคน ทั้งสามคนต่างทำอาชีพอะไรไม่เป็นจึงเดินทางเร่ร่อนจนเข้าไปในป่า ขณะที่ค้างแรมอยู่ก็มีคนแคระแดงออกมามอบของวิเศษให้ ทหารคนแรกได้เสื้อเก่าที่จะทำให้คำขอเป็นจริง ทหารคนที่สองได้ผ้าที่จะมีเงินออกมาไม่หยุด ทหารคนที่สามได้เขาสัตว์ซึ่งเมื่อเป่าก็จะมีกองทัพออกมา ทั้งสามจึงใช้ของวิเศษเหล่านั้นสร้างปราสาทและมีชีวิตอยู่อย่างสนุกสนาน
มาวันหนึ่ง ทั้งสามคนปลอมตัวเป็นเจ้าชายแล้วไปยังปราสาทของพระราชาซึ่งมีบุตรสาวหน้าตางดงาม ทหารสามคนจึงขอแต่งงานกับนาง เจ้าหญิงแสร้งทำว่ามีใจให้กับทหารคนที่สอง แล้วชักชวนให้เขาเล่นพนัน หากไม่ว่าจะแพ้เท่าไหร่ เงินของเขาก็ไม่หมดเสียทีจนเจ้าหญิงจับได้ว่าผ้าของเขาเป็นผ้าวิเศษ นางจึงลอบเปลี่ยนเอาผ้ามา กว่าทั้งสามจะรู้ตัวว่าผ้าถูกขโมยไปก็เป็นหลังจากที่ออกมาจากปราสาทแล้ว ชายคนที่หนึ่งจึงใช้เสื้อคลุมเพื่อไปแย่งผ้าวิเศษคืนมา แต่พอเจ้าหญิงเรียกทหารยามมาก็ลนลานหนีออกมาจนเผลอลืมเสื้อคลุมทิ้งไว้ คราวนี้ทหารคนที่สามจึงเป่าเขาสัตว์เรียกกองทัพมาเพื่อแย่งของวิเศษทั้งสองอย่างคืน หากเจ้าหญิงก็ปลอมตัวเป็นนักเต้นรำปะปนเข้าในกองทัพแล้วแย่งเขาสัตว์ไป
เมื่อทหารทั้งสามเสียทุกอย่างไป ก็ออกเดินทางอย่างไม่มีจุดหมายอีกครั้ง พวกเขาเข้าไปในป่า แล้วหนึ่งในนั้นก็แยกทางไปต่างหาก ทหารที่แยกทางไปเดินไปเจอต้นแอ็ปเปิ้ล พอเก็บมากิน จมูกของเขาก็ยืดยาวออกไปจนถึงนอกป่า พรรคพวกอีกสองคนที่เจอจมูกก็เดินหาเขาจนพบ แล้วช่วยกันประคองจมูกอันยาวของเขาเพื่อหาทางออกจากป่าไปด้วยกัน เมื่อเดินมาถึงต้นสาลี่ คนแคระแดงก็ปรากฎตัวออกมาบอกว่าหากกินสาลี่นี้ จมูกของเขาก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม และยังแนะนำให้เอาแอ็ปเปิ้ลกับสาลี่นี้ไปแย่งของวิเศษคืนมา
ทั้งสามจึงปลอมตัวเป็นคนสวน นำแอปเปิ้ลไปให้เจ้าหญิง ซึ่งเมื่อนางทานลงไป จมูกของนางก็ยืดยาวออกมา พระราชาจึงประกาศหาคนมารักษา คราวนี้ทหารสามคนปลอมตัวเป็นหมอ เอาสาลี่บดให้เจ้าหญิงทานเล็กน้อย จมูกของนางจึงหดลงไปหน่อยนึง ก่อนจะเอาแอ๊ปเปิ้ลบดให้นางทานเพื่อให้จมูกยืดไปเหมือนเดิมอีก แล้วแสร้งบอกว่า"ที่รักษาจมูกไม่หายก็เพราะเจ้าหญิงยังเก็บของที่ไปขโมยจากคนอื่นเอาไว้" แต่เจ้าหญิงยังดื้อไม่ยอมคืนของ จนพระราชามาเกลี้ยกล่อมจึงยอมเอาของวิเศษคืนให้ในที่สุด
แล้วทหารทั้งสามก็กลับไปอยู่ยังปราสาทของตัวเองอย่างมีความสุขตลอดไป


ฮันส์คนโง่
มีเจ้าหญิงองค์หนึ่งเกิดตั้งครรภ์ขึ้นอย่างกะทันหัน พระราชาที่ไม่รู้ว่าใครเป้นพ่อเด็กจึงประกาศให้นำเด็กทารกไปอยู่ในวิหารพร้อมกับถือมะนาวไว้ในมือ ถ้าเด็กมอบมะนาวให้กับใครก็จะถือว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อของเด็ก และกำหนดว่าผู้ที่เข้าไปในวิหารได้ต้องเป็นผู้มีฐานะสำคัญเท่านั้น
แต่ฮันส์ซึ่งชายร่างเตี้ยหน้าตาอัปลักษณ์ก็ลอบเข้ามาในวิหาร หนำซ้ำเด็กยังมอบมะนาวให้กับเขาอีกด้วย พระราชาที่ไม่อาจถอนคำพูดตัวเองได้ก็รู้สึกโกรธมาก และจับฮันสฺ์ เจ้าหญิงกับเด็กทารกขังไว้ในถังไม้แล้วลอยทะเลไป
เจ้าหญิงก่นด่าฮันส์ด้วยความโกรธ แต่ฮันส์ก็บอกว่าทุกอย่างที่เขาขอจะเป็นความจริง และที่เจ้าหญิงตั้งครรภ์ก็เป็นเพราะคำขอของเขานั่นเอง แล้วฮันส์ก็ขออาหารขอเรือทำให้เจ้าหญิงเชื่อ เมื่อเรือไปถึงฝั่ง ฮันส์ก็ขอปราสาท และขอให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าชายรูปหล่อ ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นจริง และพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาซึ่งเป็นพ่อของเจ้าหญิงขี่ม้ามาถึงปราสาท ซึ่งฮันส์ก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับเป็นอย่างดี แต่พระราชาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือฮันส์นั่นเอง เมื่อพระราชาจะกลับ เจ้าหญิงก็แอบใส่จอกทองคำไว้ในถุงของพระราชา ทำให้พระราชาถูกจับในฐานะขโมยพระราชาพยายามปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อมีหลักฐานอยู่ก็ไม่รู้จะทำยังไง แล้วเจ้าหญิงก็เปิดเผยตนออกมาพร้อมกับถามว่า"เข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกป้ายสีความผิดแล้วหรือยัง" พระราชาจึงสำนึกในความผิดของตน



และมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ตามหาได้ใน  www.google.com

เครดิต : http://writer.dek-d.com/twinsprince/story/viewlongc.php?id=750618&chapter=2